ประกันภัยรถยนต์ เข้าใจง่าย
ในปัจจุบันที่ราคารถยนต์เฉลี่ยคันละ 700,000 บาท
และมีจำนวนกว่า 30
ล้านคันบนท้องถนนจึงไม่แปลกหากเราคิดจะทำประกันรถยนต์เพื่อปกป้องทรัพย์สินของเราจากอุบัติเหตุ
ก่อนจะพูดถึงประกันที่จะคุ้มครองรถยนต์เรามาพูดถึงการประกันที่กฎหมายบังคับให้รถทุกคันจะต้องทำซึ่งก็คือ
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ร.บ. รถยนต์
พ.ร.บ. รถยนต์ให้ความคุ้มครองทุกคนที่ประสบภัยจากรถไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ผู้โดยสารคนเดินถนนโดยรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
พ.ร.บ. รถยนต์ให้ความคุ้มครองทุกคนที่ประสบภัยจากรถไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ผู้โดยสารคนเดินถนนโดยรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ
สมมุติว่าคุณละสายตาจากถนนเพียงเซี่ยววินาที พลาดไปชนรถเบนซ์ที่อยู่ข้างหน้า
ในรถมีผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวม 3 คน
ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล พ.ร.บ.รถยนต์ให้ความคุ้มครองไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน ในกรณีบาดเจ็บและไม่เกิน 200,000
บาทต่อคน ในกรณีเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะจากตัวอย่างสมมุติว่าบาดเจ็บ 3
คนมีค่ารักษาพยาบาลคนละ 60,000 บาทรวมเป็นเงิน 18,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถเบนซ์ 70,000 บาท พ.ร.บ. ของคุณจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สูงสุดคนละ 50,000
บาท รวมจ่ายทั้งหมด 3 คนเป็นเงิน 150,000 บาท แต่เนื่องจาก
พ.ร.บ. ไม่คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินค่าซ่อมรถเบนซ์ 7,000
บาท จึงไม่ได้รับการชดเชยๆดังนั้นจึงมีค่าเสียหายส่วนที่เหลือเท่ากับ 100,00 บาท
ในกรณีที่ความเสียหายไม่คุ้มครองโดยกรมธรรม์หรือค่าเสียหายมากกว่าวงเงินที่กรมธรรม์กำหนดผู้ที่เป็นฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายส่วนที่เหลือ
นั่นก็หมายความว่าในกรณีนี้คุณต้องจ่ายเงิน 100,00 บาท
จากกระเป๋าตัวเอง
ดังนั้นการทำประกันเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจึงช่วยป้องกันความเสียหายทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุและเป็นที่มาของการทำประกันภาคสมัครใจ ประกันภาคสมัครใจหมายถึงประกันที่ทำโดยความสมัครใจของเจ้าของรถซึ่งมีความคุ้มครองครอบคลุมมากกว่าประกันภาคบังคับ เช่น คุ้มครองร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคุ้มครองความเสียหายของรถคันเอาประกันคุ้มครองผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถเป็นต้น
ประกันภาคสมัครใจมีด้วยกันหลายประเภทแต่ที่ได้รับความนิยมได้แก่
ประกันชั้น 1 ประกัน 2 พลัส 3 พลัสและประกันชั้น 3
โดย ประกันชั้น 1
มีความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดและลดหลั่นลงมาเป็นประกัน 2 พลัส 3 พลัสและประกันชั้น 3 ตามลำดับ ประกันชั้น 1
ให้ความคุ้มครองแก่ตัวรถของผู้เอาประกันโดยมีจุดเด่นคือสามารถเคลมได้แม้ไม่มีคู่กรณี
เช่น ถอยชนเสา ชนฟุตบาท โดนหินกระจกแตก นอกจากนี้ยังคุ้มครองกรณีรถหาย ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ประกันชั้น
1 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุดรถยังอยู่ในสภาพดีมีอายุไม่เกิน 7 ปี
ถัดมา ประกัน 2 พลัส หรือ ประกัน 2+
ให้ความคุ้มครองแก่ตัวรถของผู้เอาประกันแต่มีเงื่อนไขคือต้องเป็นความเสียหายจากอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น
หรือ พูดง่ายว่าเคลมได้ในกรณีรถชนรถนอกจากนี้ยังคุ้มครองกรณีรถหายและไฟไหม้ด้วย ประกัน
2 พลัส เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำประกันเพื่อรองรับอุบัติเหตุใหญ่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในกรณีรถหายหรือเป็นรถที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
เช่น รถที่นำไปติดถังแก๊ส นอกจากนี้ประกัน 2 พลัส ยังเหมาะกับผู้ที่อยากทำประกันชั้น
1 แต่ติดเงื่อนไขไม่สามารถทำได้เนื่องจากรถมีอายุมากเกิน หรือ มูลค่าไม่ถึงเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนด
ในลำดับต่อมา ประกัน 3 พลัส หรือ ประกัน
3+ มีความคุ้มครองเหมือนประกัน 2 พลัส คือคุ้มครองรถของผู้เอาประกันในกรณีเกิดอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่นแตกต่างกันเพียงที่ประกัน
3 พลัส ไม่คุ้มครองรถหายผและไฟไหม้ ดังนั้นหากรถของเรามีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือจลกรรมระดับต่ำ
เช่น รถไม่ได้ติดแก๊ส มีที่จอดรถในบ้าน หรือ มีที่จอดที่รักษาความปลอดภัยดีก็อาจพิจารณาทำประกัน
3 พลัส แทน 2 พลัส ก็ได้
ลำดับสุดท้าย ประกันชั้น 3 ให้ความคุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณีไม่มีวงเงินซ่อมรถของผู้เอาประกัน
ประกันชั้น 3 เหมาะสำหรับป้องกันความเสียหายจากการขับรถไปชนคันอื่นโดยผู้เอาประกันพร้อมรับผิดชอบค่าซ่อมรถตนเองได้หากจำเป็น
จากที่กล่าวมานั้นเป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์โดยมุ่งเน้นให้เราได้เข้าใจและสามารถเลือกทำประกันที่สอดคล้องกับความต้องการเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงที่มากับการใช้รถได้อย่างเหมาะสมวันนี้คุณพร้อมรับมือกับความเสี่ยงหรือยัง